วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

การศึกษาดูงาน ณ โรงเรียนอนุบาลสามเสน

ในการศึกษาดูงาน ณ โรงเรียนอนุบาลสามเสนครั้งนี้ ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ดิฉันได้มีโอกาศศึกษาดูงานนอกสถานศึกษา และเป็นโรงเรียนที่เป็นต้นแบบของการใช้กิจกรรมหลัก 6 กิจกรรม ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญยิ่งต่อการเรียนของดิฉัน ในการศึกษาดูงานครั้งนี้ดิฉันได้รับโอกาศอันดี ในการเข้าไปสังเกตการเรียนการสอน และการทำกิจกรรมต่างๆ อย่างใกล้ชิด ได้รับรู้ถึงบรรยากาศของการทำกิจกรรมของครูและเด็กในห้องเรียนผู้ริเริ่ม กิจกรรมหลัก 6 กิจกรรมน.ส.ราศรี ทองสวัสดิ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนอนุบาลสามเสนฯ เป็นนักการศึกษาที่ริเริ่มนำ 6 กิกรรมหลักมาใช้ในการเตรียมความพร้อมของเด็ก ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2518 และได้แพร่หลายไปทุกหน่วยงานที่จัดการศึกษาด้านปฐมวัยกิจกรรมทั้ง 6 แยกเป็น 2 ลักษณะ ดังนี้กิจกรรมเบา-กิจกรรมการเล่นตามมุม-กิจกรรมกลางแจ้ง-กิจกรรมศิลปสร้างสรรค์กิจกรรมหนัก-กิจกรรมเสริมประสบการณ์-กิจกรรมการเคลื่อนไหวและจังหวะ-เกมการศึกษาห้องเรียนที่ดิฉันได้ศึกษาดูงานนั้นคือ อนุบาล1/3 ห้องครูโบว์ มีนักเรียนทั้งหมด 33 คนนักศึกษาฝึกสอน 3 คนดิฉันได้ไปสังเกตในขณะที่เด็กๆ กำลังทำกิจกรรมศิลปสร้างสรรค์ โดยคุณครูแบ่งโต๊ะออกเป็น 4 โต๊ะโดยแต่ละโต๊ะจะมีเก้าอี้ว่างอยู่ 1 ตัว เพื่อให้เด็กได้หมุนเวียนกัน-โต๊ะแรกก็จะเป็นการวาดรูปตามจินตนาการโดยใช้สีเทียน-โต๊ะที่ 2 เป็นกิจกรรมฉีก ติด ปะ-โต๊ะที่ 3 เป็นกิจกรรมต่อเติมภาพ โดยใช้กล้วยเป็นแบบ-โต๊ะที่ 4 เป็นกิจกรรมตัด ปะโดนครูมีการตัดกระดาษเป็นวงกลม แล้วสามเหลี่ยม แล้วให้เด็กทากาวแล้วติด เข้าด้วยกัน และจากนั้นก็นำไม้ไอติมมาติดเป็นด้ามกิจกรรมที่สองคือ กิจกรรมเคลื่อนไหวจังหวะ ครูให้เด็กเคลื่อนส่วนต่างๆของร่างกายตามจินตนาการโดยมีการเคาะจังหวะเพื่อให้เด็กฟังแล้วเคลื่อนไหวตาม...

เล่าไปวาดไป

นิทานเรื่องดาวอะไรเอ่ย (เล่าไปวาดไป)
ดาวอะไรเอ่ย (เล่าไปวาดไป)...มีคุณยายคนหนึ่ง คุณยายคนนี้เป็นคนจรจัดไม่มีที่อยู่อาศัย คุณยายจึงเดินเร่ร่อนไปเรื่อยๆคุณยายจึงเร่ร่อนไปเรื่อยๆ คุณยายมีถุงผ้าใบใหญ่ประจำตัวอยู่ใบหนึ่ง เวลาที่คุณยายเดินไปไหน ก็จะเก็บสิ่งของต่างๆ ที่ถูกทิ้งตามกองขยะใส่ถุงผ้าของคุณยาย เช่น วิทยุเก่า ถ้วยเก่า จานเก่า แม้แต่เมล็ดพืขต่างๆ คุณยายยังเก็บใส่ถุงผ้าของคุณยายเลย...และเวลาเดินไป คุณยายก็จะบ่นว่า เบื่อๆ ๆ ๆ ๆ เบื่อโลกมนุษย์ เบื่อผู้คนเหลือเกิน อยากอยู่คนเดียว เบื่อจริงๆ...อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่คุณยายเดินบ่นๆๆๆๆๆไป ในทุ่งนานนั่นเองก็เกิดพายุหมุนมา หมุนเอาตัวคุณยายลอยออกไปนอกโลก...แล้วไปตกปุ๊กลงที่ดาวดวงหนึ่ง ดาวดวงนั้น เป็นดวงดาวเล็กๆ คุณยายจึงออกสำรวจดูว่ามีใครอาศัยอยู่บนดาวดวงนี้หรือเปล่า...คุณยายเดินไปด้านหนึ่งของดาว เจอต้นไม่ประหลาดต้นหนึ่ง เพราะทั้งต้นทีใบอยู่เพียงใบเดียว และคุณยายเดินไปอีก ก็พบกับต้นไม้ที่มีลักษณะเหมือนเดิมอีก ก็พบกับต้นไม้ที่มีลักษณะเหมือนเดิมอีกคุณยายจึงย้ายมาสำรวจอีกด้านหนึ่งของดวงดาว ก็พบต้นไม้ที่มีลักษณะเหมือนเดิมอีก คุณยายจึงเดินต่อไปพบกับต้นไม้ที่มีลักษณะเหมือนเดิมอีก...และคุณยายก็กลับมาที่เดิม คุณยายดีใจมาก เพราะดวงดวานี้ทั้งไม่มีคนอาศัยอยู่เลยคุณยายจึงลงมือสร้างกระท่อม ทำหน้าต่าง ตั้งเสาโทรทัศน์ ตั้งเสาวิทยุ แล้วคุณยายก็ขุดหลุม ปลูกผักไว้กินที่หน้าบ้านของคุณยายนั่นเอง...ไม่กี่วันต่อมา ผักที่คุณยายปลูกก็เจริญเติบโตขึ้นจนเต็มลานหน้าบ้านคุณยายไปหมดคุณยายอยู่บนดวงดาวนั้นด้วยความสุขดาวเต่าทองภาพที่1 ผู้วาดภาพประกอบนิทานเรื่องนี้ ไม่ต้องวาดรายละเอียดก็ได้เพียงแต่ใช้จุดแทนเท่านั้นภาพที่2 แล้วคุณยายก็โดนพายุพัดไปตกดวงดาวดวงหนึ่งภาพที่3 คุณยายจึงออกสำรวจไปเจอต้นไม้ที่มีใบ อยู่ใบเดียว 3 ต้นภาพที่4 และอีก 3 ต้นภาพที่5 คุณยายจึงสร้างบ้านเปิดหน้าต่าง 2 บาน ตั้งเสาทีวี และเสาวิทยุภาพที่6 นำเมล็ดผักไปปลูกไว้ลานหน้าบ้านภาพที่7 ขุดคลองและสร้างถนนสำหรับรดน้ำภาพที่8 ต่อมาผักก็โตขึ้นๆ ก็จะได้ภาพดาวเต่าทองประกอบนิทาน

วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2552

บันทึกการมาเรียน7/01/2552

การจัดสภาพแวดล้อมจัดให้สอดคล้องกับเนื้อหาสาระและกิจกรรมโดยการจัดพื้นที่ภายในห้องเรียนที่สามารถตอบสนองความต้องการในการเรียนรู้ของเด็กที่มีความแตกต่างหลากหลายได้การจัดห้องเรียนควรเป็นสถานที่ที่เด็กได้อยู่ในโลกของภาษาตัวหนังสือ สัญลักษณ์ที่มีความหมายต่อเรื่องที่เรียน มีมุมที่เด็กสนใจ โดยเด็กสามารถเข้าไปเรียนรู้ ซึมซับอย่างเอิบอาบไปด้วยภาษาได้ตลอดเวลาการจัดสภาพแวดล้อมในมุมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมการใช้ภาษาอย่างมีความหมายต่อเด็ก- มุมบ้าน เด็กจะเข้ามาในบ้าน พูดคุยเล่นกัน มีการสื่อสารระหว่างกันขณะทำกิจกรรมต่างๆ เช่น รีดเสื้อผ้า ล้างชามในครัว ทำครัว ซึ่งช่วยให้เด็กพัฒนาตนเอง ได้เรียนรู้จากเพื่อน เตรียมกระดาษ ดินสอ ให้บันทึกข้อความจากการโทรศัพท์ถึงคุณแม่คุณพ่อมีการจดรายการเตรียมไปจ่ายตลาดกับคุณแม่- มุมหมอ เด็กจะได้เล่นบทบาทสมมติเป็นหมอ เป็นคนไข้ ฝึกการใช้ภาษาในอธิบายอาการป่วยไข้ ใช้ภาษาสื่อสารกับคุณหมอ พยาบาล มีการนัดหมายกับหมอ โดยจดการนัดหมายลงในสมุดนัดคนไข้ คุณหมอมีการเขียนใบวินิจฉัยโรค และเขียนใบสั่งยาให้คนไข้ แม้เด็กจะยังเขียนไม่เป็น แต่ก็จะชอบหัดเขียน- มุมตลาด เด็กได้ฝึกหัดการสนทนาสื่อสาร โต้ตอบระหว่างผู้ซื้อ ผู้ขาย ใช้เครื่องมือ ชั่ง น้ำหนัก ตวง วัดปริมาณ คำนวณเงินในการใช้จ่าย เงินทอน- มุมจราจร เด็กได้เรียนรู้สัญลักษณ์จราจร การปฏิบัติตามสัญลักษณ์ ป้ายบอกทางต่างๆ รู้จักทิศทาง ซ้าย ขวา การแสดงบทบาทต่าง ๆ*มุมที่ดีคือมุมที่ครูจัดสภาพแวดล้อม จัดวางกระดาษ ดินสอ สื่อ อุปกรณ์ หนังสือขั้นตอนการทำงานไว้ชัดเจนแล้วเด็กจะเข้าไปเล่นเรียนรู้ได้เองทั้งที่ต้องการและไม่ต้องการความช่วยเหลือจากครู เด็กจะสนทนาหรือขีดเขียนในสิ่งที่ ผู้ใหญ่อาจไม่เข้าใจกระบวนการเรียนรู้แบบธรรมชาติตามวัยวุฒิของเด็ก ครูต้องมีความเชื่อมั่นและไว้วางใจในตัวเด็กว่าเขาสามารถทำงานต่าง ๆ ได้ ถ้ามีความสนใจ มีฉันทะเกิดขึ้นแล้ว พฤติกรรมการเรียนรู้ของเด็กจะเกิดขึ้นเอง ซึ่งครูทุกคนต้องสังเกตตลอดเวลาให้เกิดเป็นประสบการณ์ตรงของครู สร้างองค์ความรู้ด้านพัฒนาการของเด็กที่เป็นความรู้ประจักษ์อยู่ในงานของครูเองบทบาทของครูเชื่อมโยงประสบการณ์ที่เด็กมีอยู่เดิมให้สัมพันธ์กับกิจกรรมที่จัดขึ้นซึ่งอาจเป็นการเล่าเรื่องที่เด็กเคยพบเห็น การเปิดโอกาสให้เด็กพูดจากความคิดหรือประสบการณ์ในขณะฟังเรื่องจากหนังสือที่ครูเลือกและจัดหาหนังสือที่เหมาะกับวัยไว้ในชั้นเรียนเพื่อให้เด็กมีโอกาสหยิบมาอ่านหรือพลิกดูเสมอเพื่อเป็นการสร้างความคุ้นเคยกับภาพความคิดและตัวหนังสือบรรยากาศการสอนแนวใหม่เด็กจะแสดงความต้องการให้ครูเห็นว่าเขาต้องการเขียนสิ่งที่มีความหมายสิ่งที่เขายากบอกให้ผู้อื่นเข้าใจ การเขียนระยะแรกจึงเป็นการที่เด็กสร้างความคิดซึ่งเกิดจากประสบการณ์ของเด็กและความต้องการสื่อความหมายให้ผู้อื่นทราบเด็กจะเขียนเส้นขยุกขยิกคล้ายตัวหนังสือหรือเขียนสะกดบางคําได้แต่ยังไม่ถูกต้องการประเมินผลครูพิจารณาจากการสังเกต การบันทึก การเก็บร่องรอยทางภาษาของเด็กขณะทํากิจกรรมต่างๆ และการสะสมชิ้นงาน เป็นการประเมินการเรียนรู้ภาษาจากสภาพจริง (authentic forms of assessment) มีประโยชน์ต่อการพัฒนาเด็กมากกว่าการใช้แบบทดสอบทางภาษา
วันพุธ ที่17 เดือนธันวาคม2551
สวัสดีค่ะวันนี้ก็มีหลายเรื่องนะคะที่ได้เรียนในวันนี้..
ลักษณะสำคัญและกิจกรรมทางภาษาแบบองค์รวมอ่านเขียน เน้นความเข้าใจเนื้อเรื่องมากกว่าการท่องจำตัวหนังสือผ่านการฟังนิทาน เรื่องราวสนทนาโต้ตอบ คิดวิเคราะห์ร่วมกับครูหรือผู้ใหญ่- การคาดคะเนโดยการเดาในขณะอ่าน เขียน และสะกด เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ในการเรียนรู้ภาษาธรรมชาติ โดยไม่จำเป็นต้องอ่านหรือสะกดถูกต้องทั้งหมดมีหนังสือ วัสดุสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ให้เด็กเป็นผู้เลือก เพื่อได้รับประสบการณ์ทางภาษาอย่างหลากหลาย-ครูแนะนำและสอนอ่านในกลุ่มที่ไม่ใหญ่มากโดยใช้หนังสือเล่มใหญ่ที่เห็นชัดเจนทั่วกัน ให้เด็กแบ่งกลุ่มเล็กๆผลัดกันอ่านด้วยการออกเสียงดังๆ-ครูสอนการอ่านอย่างมีความหมายด้วยความสนุกสนานในกลุ่มย่อย สอนให้รู้จักวิธีการใช้หนังสือการเปิดหนังสืออย่างถูกต้อง เปิดโอกาสให้เด็กพูดคุย ซักถามจากประสบการณ์เดิมซึ่งครูสามารถประเมินความสามารถการอ่านของเด็กแต่ละคนไปด้วยพร้อมกัน ให้เด็กแต่ละคนมีโอกาสเลือกอ่านหนังสือที่ชอบและยืมไปนั่งอ่านเงียบ ๆ-ให้เด็กได้เขียน ขีดเขี่ย วาดภาพ ถ่ายทอดสิ่งที่เรียนรู้จากประสบการณ์ ความประทับใจ อย่างอิสระ ครูตรวจสอบสภาพการเขียนของเด็กแต่ละคนโดยการให้เด็กเล่าสิ่งที่เขียนหรือวาดให้ครูฟัง โดยครูอาจแนะนำการเขียนที่ถูกต้อง เพื่อให้เด็กพัฒนาการเขียนได้ด้วยตัวเด็กเองทุกวันโดยไม่มุ่งแก้คำผิดหรือทำลายความอยากเขียนของเด็กความเชื่อมโยงภาษาพูดกับภาษาเขียนภาษาพูดกับภาษาเขียนมีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กันโดย ความรู้เกี่ยวกับคำจะเพิ่มพูนมากขึ้นเมื่อเราพูด เล่า สนทนาโต้ตอบกัน เราอ่านจากหนังสือประเภทต่าง ๆ อ่านจากป้ายในทุกหนทุกแห่งที่สนใจ จะทำให้เด็กมีโอกาสเรียนรู้เรื่องราวต่างๆไปพร้อมๆกันและช่วยให้เด็กมี ความรู้เพิ่มพูนขึ้น ทักษะการสนทนาจะพัฒนามากขึ้น ด้วยการพูดคุยกับพ่อแม่ เพื่อน ครู ในสถานการณ์หรือเรื่องราวที่มีความสัมพันธ์กับตัวเด็ก เมื่อเด็กได้รับโอกาสในการแสดงออกโดยการพูด เด็กจะได้เรียนรู้จากสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง จากสิ่งที่ผู้ใหญ่อ่านให้ฟัง ซึ่งเด็กนำไปใช้เพื่อการสื่อสาร หรือแสดงความรู้สึกนึกคิดออกมาในการดำเนินชีวิตประจำวันซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการรู้ความหมายในภาษาเขียน จุดสำคัญการส่งเสริมและพัฒนาภาษาคือการที่ผู้ใหญ่อ่านหนังสือให้เด็กฟัง ในขณะที่ครูอ่านไป เด็กจะมองตามตัวหนังสือและมักจะพยายามหาความหมายไปด้วยจากภาพหรือจากตัวหนังสือ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของพฤติกรรมการรู้หนังสือ…และอาจารย์ยังได้เสริมถึงเรื่องกิจกรรมที่จะส่งเสริมให้เด็กมีการเรียนรู้ทางภาษาได้เช่น1.การเล่าสิ่งที่ตนเองรัก2.การเล่าข่าวหรือกิจกรรมที่ตนเองได้ไปพบเจอมา